วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2558

PEARYPIEEEEEEEE

        สวัสดีค่า เพื่อนๆทุกคน วันนี้เมย์ท่องโลกไม่ได้พาเพื่อนๆไปเที่ยวที่ไหนแต่จะมาแนะนำคนที่เมย์ชอบมากเลยนะคะ  คนนั้นก็คือออ    “แพรี่พาย (Pearypie)”   ใครที่สาวกการแต่งหน้าจะรู้จักกันดีเลย  ใช่แล้วค่ะ แพรี่พายคือ Makeup artist ระดับโลกที่เป็นคนไทย   เมย์เริ่มชอบแพรี่พายในช่วงขึ้นม.6 นี่เองเพราะเริ่มสนใจเรื่องเครื่องสำอางเลยลองหาดูแล้วเจอแพรี่พาย ซึ่งแพรี่พายนี่เป็นคนที่มีความคิดที่สร้างสรรค์ไม่กลัวคนอื่นจะหาว่าบ้าหรือหลุดโลก  แถมยังไม่ยึดติดกับเทรนผิวขาวในสมัยนี้ด้วย แต่พยายามให้ทุกคนเน้นที่ผิวสุขภาพดี  หน้าใสและเหมาะสมกับอายุ  และในวันนี้ใครที่ร็จักแพรี่พายหรือยังไม่รู้จัก เมย์มีประวัติและคลิปสอนแต่งหน้าสวยๆมาให้ทุกคนได้อ่านกันน้า ไปอ่านกันเลยยย


          ชื่อ-นามสกุล อมตา จิตตะเสนีย์
          ชื่อเล่น: แพร
          ชื่อที่เรียกกันในวงการ :แพรี่พาย (Pearypie)
          วันเกิด: 13 มกราคม 1988
          การศึกษา
                 แพรี่พาย (Pearypie) เรียนมัธยมที่โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย จากนั้นไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษตั้งแต่อายุ 15 ปี ที่ St. Mary’s School Cambridge ก่อนจะเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรีที่ University of Arts, London, Central Saint Martins คณะออกแบบการแสดง (Performance Design and Practice) และเพิ่งจบการศึกษาระดับปริญญาโทสาขา Global Management ที่ Regent’s Business School

บทสัมภาษณ์แพรี่พาย
แรงบันดาลใจ ของ แพรี่พาย (Pearypie)?
          แพรเป็นสาวกิจกรรมตั้งแต่เด็ก เพราะคุณแม่ให้เรียน-ทำกิจกรรมหลายอย่าง เช่น รำไทย เต้นบัลเล่ต์ ทำขนมไทย-ฝรั่ง ทำให้สาวคนนี้มีความสามารถหลากหลายด้าน และจากเด็กสาวธรรมดาที่ไม่ได้สนใจเรื่องความสวยความงามแต่ พออายุได้ 17 ปี เธอก็ได้ลองจับเครื่องสำอางอย่างอายไลเนอร์ มาสคาร่า และเริ่มหลงใหลในเส้นสายและสีสันที่แต่งแต้มอยู่บนใบหน้านับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
          แพรชอบศิลปะมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว พอมาชอบแต่งหน้า ก็เคยอยากเรียนด้าน Cosmetic Science แต่เราก็ชอบศิลปะมากกว่าอยู่ดี สามารถนั่งฝังตัวเองกับงานศิลปะได้นานๆ และเมื่อก่อนชอบพวกงานกราฟิก จึงเลือกเรียนสาขาออกแบบการแสดง เพราะสาขานี้เราได้ทำตั้งหลายอย่าง ทั้ง Illustration ออกแบบมูฟเมนต์ในการแสดง ดีไซน์เสื้อผ้า และออกแบบเวที มันเป็นงานศิลปะหมดเลย
          ถึงจะไม่เกี่ยวกับการแต่งหน้า แต่ด้วยความที่ชอบแต่งหน้าตัวเองเป็นทุนเดิม ชอบดูวิดีโอสอนแต่งหน้าในยูทูป หรือเวลามีแฟชั่นวีค แพรชอบนั่งดูสไตล์การแต่งหน้าของรันเวย์ต่างๆ พอเรียนการแสดง เราก็พยายามเอาการแต่งหน้าเข้าไปพรีเซนต์ในการแสดงด้วย อย่างเช่น ใช้การแต่งหน้าหลายๆแบบในการแสดง หรือแต่งหน้าให้เป็นสเปเชี่ยลเอ็ฟเฟ็กต์นิดๆ หน่อยๆ

จุดเริ่มต้นเป็นไอดอล แพรี่พาย (Pearypie)ได้อย่างไร?
          แพรเริ่มเป็นที่รู้จักและได้รับความสนใจจากสาวๆ ชาวเน็ตจากการแบ่งปันไอเดียและเทคนิคการแต่งหน้าในสไตล์ต่างๆ จากเว็บไซต์ความสวยความงาม และมาต่อยอดด้วยการเปิดแฟนเพจเป็นของตัวเอง ซึ่งเธอมองว่าแฟนเพจของเธอไม่ได้เป็นการแนะนำแบรนด์เครื่องสำอางออกใหม่ เพราะเธอไม่เคยรับสินค้าจากแบรนด์ใดเพื่อมาช่วยโปรโมตแต่แฟนเพจถือเป็นการแชร์ความรู้และเทคนิคการแต่งหน้าที่เธอมีมากกว่าจริงๆ แล้วแพรเพิ่งเริ่มการแต่งหน้าได้ไม่นาน อย่างในfacebookแฟนๆ ที่ติดตามอาจจะเห็นว่าแพรเป็นเมคอัพกูรู แต่แพรคิดว่าตัวเองเป็นศิลปินรุ่นใหม่ ที่อยู่ในช่วงฝึกฝนและเก็บพอร์ตโฟลิโอมากกว่านะ แฟนๆ ในfacebookชอบมาปรึกษาอย่าง รองพื้นยี่ห้ออะไรดี? ซึ่งจริงๆ แพรไม่ค่อยรู้หรอก เพราะไม่ได้มีคนส่งเครื่องสำอางมาให้ลองใช้ แพรจะแค่บอกว่าแพรชอบเครื่องสำอางตัวไหนบ้าง ใช้ตัวไหนอยู่ หรือฮาวทูการแต่งหน้าแบบต่างๆ เป็นการแชร์ข้อมูลกันแบบตามใจตัวเองมากกว่าค่ะ   ส่วนของที่แพรใช้ก็มีตั้งแต่แบรนด์ไฮเอนด์จนถึงเครื่องสำอางค์ดรักสโตร์ ไม่เน้นของแพงตลอดอยู่แล้ว

ความฝันของทีนเมกอัพ อาร์ทิสต์ แพรี่พาย (Pearypie)?
          เวลาอยู่เมืองไทย แพรอาจจะดูเป็นลูกคุณหนู มีคนรู้จักเยอะ แต่ที่อังกฤษ แพรก็คือคนธรรมดาที่เริ่มจากศูนย์จริงๆ ที่ทำfacebook แพรก็เริ่มจากศูนย์ แพรไม่อยากให้คุณพ่อคุณแม่มาช่วย เราอยากทำด้วยตัวเอง อยากให้คนอื่นเห็นความสามารถของเราจริงๆ อยู่ที่โน่นไลฟ์สไตล์ก็จะลุยๆ ทำอะไรเองทุกอย่าง เพื่อนๆ ที่โน่นที่เป็นเมคอัพอาร์ทิสต์เหมือนกัน เขาจะไม่ได้รู้แบ็กกราวด์ที่บ้านเราว่าเป็นยังไง เราก็พยายามให้คนอื่นเห็นว่าเราเป็นศิลปินคนหนึ่งที่กำลังฝึกฝนและมุ่งมั่น
         แพรอยากมีโอกาสเข้าไปเป็นผู้ช่วยเมคอัพอาร์ทิสต์ในงานลอนดอนแฟชั่นวีค ซึ่งตอนนี้แพรกำลังพยายามผลักดันตัวเองให้เป็นผู้ช่วยเมคอัพอาร์ทิสต์ดังๆ ของที่โน่นอยู่ค่ะ เราจะได้เข้าไปช่วยล้างพู่กัน ยกของ เพื่อที่จะได้ประสบการณ์ การทำงานที่เราไม่เคยได้เห็น ที่เป็นโลกของแฟชั่นจริงๆ เมคอัพอาร์ทิสต์ดังๆ ก็ต้องเคยทำงานหนักอย่างนี้มาก่อน บางคนก็เริ่มจากเป็นนักเรียนศิลปะ หรือเป็นช่างผมมาก่อน
          แพรได้รู้จักกับเมคอัพอาร์ทิสต์ชาวอังกฤษท่านหนึ่งที่ทำเมคอัพให้แฟชั่นโชว์ เวลาเขามีงานอะไรแพรก็พยายามจะเข้าไปช่วยตลอด ทำให้เขาเห็นว่าเรามีความสามารถและพยายามพัฒนาตัวเอง หลังจากที่ได้เจอเขามา 2-3 รอบ เขาก็บอกว่าเรามีพัฒนาการที่ดีขึ้นมาก เขาแนะนำให้มองโลกกว้างๆ เพื่อจะได้เอามาใช้และทำให้การแต่งหน้าของเรามีเอกลักษณ์ ซึ่งในการแต่งหน้านั้น เราสามารถเพิ่มลูกเล่นได้หลายอย่าง ที่จะทำให้ดูโดดเด่นกว่าของคนอื่น
          ส่วนอีกหนึ่งเป้าหมาย ที่เธอบอกว่าเป็นความฝันอีกยาวไกล และต้องสั่งสมประสบการณ์ ความรู้ที่แน่นพอ ในการเปิดโรงเรียนสอนแต่งหน้า และมีแบรนด์เครื่องสำอางของตัวเองทุกวันนี้ แพรี่พายมองตัวเองว่าเป็นศิลปิน ที่สร้างสรรค์ผลงานศิลปะ เพราะเธอบอกว่า การแต่งหน้าก็เหมือนการวาดรูปโดยที่มีใบหน้าของคนเป็นเหมือนผืนผ้าใบที่เธออยากจะแต่งแต้มสีสันให้ออกมาในรูปแบบต่างๆ กันอย่างไม่มีขีดจำกัด
          แพรี่พายทำตามความฝันสำเร็จไปข้อหนึ่งแล้ว นั่นคือ การได้เข้าไปร่วมเป็นส่วนหนึ่งของงานโชว์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดงานหนึ่งของประเทศอังกฤษ อย่าง “LONDON fashion week” โดยแพรได้รับบทผู้ช่วยเมกอัพอาร์ทิสต์ ผู้ช่วยรังสรรค์ความสวยงามให้บรรดานายแบบ นางแบบ ของแฟชั่นโชว์มากถึง 12 โชว์เลยทีเดียว

        ก็จบไปแล้วนะคะ สำหรับประวัติและบทสัมภาษณ์ของแพรรี่พาย เพื่อนๆเริ่มชอบแพรรี่เหมือนเมย์รึยังเอ่ยยยย ??  ถ้ายังเมย์มีภาพสวยๆของแพร่พายมาให้ได้ดูกันด้วยน้า
















ชอบลุคนี้มากกก  ดูผิวแทนสวยยยยย <3








          ภาพที่เห็นไปทั้งหมดจากจากอินสตราแกรมของแพรี่พายทั้งหมดนะคะ เป็นคนที่ถ่ายภาพสวยมากกแล้วคุมโทนอินสตาแกรมได้สวยมากๆเลย  เมย์เป็นคนชอบภาพโทนสีนี้อยู่แล้วพอแพรี่พายแต่งแนวนี้เลยยิ่งหลงไปอี้กก 55555555  สามารถติดตามไอจีแพรี่พายได้ที่ ...

        Facebook :: www.facebook.com/pearypiemakeupartist
        Instagram :: @pearypie
        Twitter :: @pearypie
        website :: www.pearypie.com


          ต่อไปคือคลิปสอนแต่งหน้าที่ทุกคนรอคอยน้าาา วันนี้เราเอาคลิปแต่งแบบ everyday มาฝากกันเพื่อเพื่อนๆคนไหนอยากแต่งแบบเบาๆ สบายๆ  หรือไปประยุกต์แต่งไปเรียนก็ได้น้าาาาาาา


          ต่อมาคือการแต่งหน้าแบบโทนสีชมพูๆ เผื่อเพื่อนคนไหนอยากลองแต่งแบบเป็นสาวหวาน แบ้วๆ อะไรแบบนี้




            นอกจากแต่งหน้าแล้วแพรี่พายยังมีฮาวทูทรงผมอีกด้วยน้า




          วันนี้เมย์ก็ขอขอบคุณทุกๆคนมากๆนะคะที่เข้ามาอ่านบล็อกของเมย์กันเนอะ  หวังว่าเพื่อนๆจะชอบแพรี่พายเหมือนกันน้า  ดูแล้วอย่าลืมคอมเม้นต์ให้เมย์ท่องโลกด้วยนะค่ะ   อาทิตย์หน้าเมย์จะมีอะไรมาฝากอย่าลืมติดตามกันด้วยขอบคูณค่าาาาาาาาา

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


ขอขอบคุณ 
รูปภาพสวยๆจาก IG:pearypie
ข้อมูล : pearypieeeeeeeeeeeeee



วันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2558

โปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์


             สวัสดีค่าาเพื่อนๆทุกคนน  เจอกันอีกแล้วน้าา  วันนี้เมย์จะมาให้ความรู้เพื่อนเรื่อง โปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์ ( ภาษาฟอร์แทรน ) หลายๆคนอาจงงว่า เอ้ะ ?  คอมพิวเตอร์มีภาษาด้วยหรอ  แล้วภาษาฟอร์แทรนคืออะไร ในวันนี้เมย์มีคำตอบให้คะ  แต่ก่อนอื่นเรามารู็จักภาษาคอมพิวเตอร์กันก่อนดีกว่าา

     (1) ภาษาฟอร์แทรน (FORmula TRANslator : FORTRAN) 
   (2) ภาษาโคบอล (Common Business – Oriented Language : COBOL) 
    (3) ภาษาเบสิก (Beginner’s All - purpose Symbolic Instruction Code : BASIC)
    (4) ภาษาปาสคาล (Pascal) 

    (5) ภาษาซีและซีพลัสพลัส (C และ C++)
    (6) ภาษาวิชวลเบสิก (Visual Basic)
    (7) การเขียนโปรแกรมแบบจินตภาพ (visual programing)
    (8)ภาษาจาวา (JAVA)
    (9) ภาษาเดลไฟล์ (Delphi) 

                                   ทั้งหมดนี่คือภาษาชั้นสูงในคอมพิวเตอร์น้า แต่สิ่งที่เมย์จะมาขายความและให้ความรู็กับเพื่อนๆอย่างละเอียดนั่นก็คือ "ภาษาฟอร์แทรน(fortran)  ไปอ่านกันเลยยยยยย


 FORTRAN   



 ภาษาฟอร์แทรน หรือ FORTRAN เป็นชื่อที่ย่อมาจาก FORmular TRANslation ถูกพัฒนาขึ้นเมื่อกลางทศวรรษที่ 1950 ด้วยฝีมือของพนักงานบริษัทไอบีเอ็ม นับเป็นภาษาชั้นสูงภาษาแรกที่ได้มีการใช้แพร่หลาย จึงได้มีบัญญัติภาษาฟอร์แทรนฉบับมาตรฐานขึ้นในเวลาต่อมาโดย ANSI (American National Standard Institute)

        

        ฟอร์แทรนถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานทางด้านวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์และคณิตศาสตร์ อันเป็นงานที่มักใช้งานประมวลที่ซับซ้อน   เนื่องจากฟอร์แทรนถูกออกแบบมาสำหรับการใช้งานทางวิทยาศาสตร์ จึงมีจุดอ่อนในเรื่องเกี่ยวกับการจักการไฟล์ นอกจากนี้จากการที่ฟอร์แทรนถูกออกแบบมาตั้งแต่สมัยที่เรายังใช้บัตรเจาะรูซึ่งมีขนาด 80 คอลัมน์  ทำให้ฟอร์แทรนมีกฎเกณฑ์ที่จะต้องเริ่มต้นและจบประโยคภายในคอลัมน์ที่กำหนด ซึ่งเป็นเรื่องน่ารำคาญพอสมควร  ในการเขียนโปรแกรมในปัจจุบัน เมื่อพูดถึงโครงสร้างของภาษาฟอร์แทรนแล้วก็ไม่สามารถสู้ภาษารุ่นใหม่ๆได้

ชุดคำสั่งภาษาฟอร์แทรน

          เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ที่เหมาะกับการใช้งานทางด้านการคำนวณ  ตัวแปลชุดคำสั่งจะทำหน้าที่อ่านชุดคำสั่งที่เป็นภาษาฟอร์แทรนที่เราเขียนขึ้น และแปลเป็นภาษาเครื่องที่ชุดคำสั่งควบคุมสามารถรับได้ คำสั่งในภาษาฟอร์แทรนแต่ละคำสั่งเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า statement  ซึ่งแบ่งเป็นดังนี้
               คำสั่งรับส่งข้อมูล (input-output statement)ได้แก่  READ, WRITE หรือ PRINT, FORMAT
               คำสั่งคำนวณ (arithmetic statement) ได้แก่
                    - คำสั่งที่เป็นการคำนวณ  โดยทางซ้ายมือเป็นตัวแปร ทางขวามือเป็นการคำนวณ  เช่น X = A + B + 5
                    - คำสั่งตรรกะ (logical statement) เป็นคำสั่งประเภทควบคุม ได้แก่ คำสั่งที่ใช้ในการทดสอบ             ค่าเช่น IF (A.EQ.B) GO TO 15 หรือ GO TO (1, 2, 3,4, 5) และ I เป็นต้น
         นอกจากนี้  ยังมีคำสั่งประกอบอื่นๆ อีก เช่น DIMENSION, DATA, CALL SUB, และ RETURN เป็นต้น



           ฟอร์แทรนเป็นภาษาระดับสูงที่ใช้เขียนคำสั่งงานเพื่อควบคุมการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่  เช่น  เครื่องเมนเฟรม  (Mainframe  Computer)  เป็นภาษาที่ใช้แก้ปัญหาด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์  ภาษา  FORTRAN  จึงเหมาะสำหรับเขียนโปรแกรมเกี่ยวกับสูตร  สมการ  หรือฟังก์ชันทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ 

ตัวอย่างของภาษา  FORTRAN  บางส่วน มีดังนี้


READ    X
IF((X.GT.0)  .AND.  (X.LT.100))  THEN
            PRINT *, ‘VALUE  OF  X  IS :’,X
ELSE
             PRINT * , ‘X  IS  NOT  BETWEEN  0  AND  100’

ความหมายของคำสั่งงาน

READ  X  หมายถึง การอ่านค่าลงในตัวแปรชื่อ  X
IF((X.GT.0)  .AND.  (X.LT.100))  THEN หมายถึง  การตรวจสอบค่า X ที่อ่านค่า เข้ามาว่าอยู่ระหว่า 0-100 หรือไม่  ถ้าใช่ให้ทำคำสั่งหลัง THEN ถ้า
ไม่ใช่ให้ทำคำสั่งหลัง ELSE
PRINT *, ‘VALUE  OF  X  IS :’,X  หมายถึง  ให้พิมพ์ทั้งประโยคด้วยข้อความที่ กำหนดแล้วตามด้วยค่าของตัวแปร X ที่อ่านเข้ามา
PRINT * , ‘X  IS  NOT  BETWEEN  0  AND  100’  หมายถึง  พิมพ์ทั้งประโยค โดยแสดงค่าของ X ก่อนประโยคข้อความ 

ข้อดีของภาษาฟอร์แทรน 

          เป็นภาษาที่มีคำสั่งงานเน้นประสิทธิภาพด้านการคำนวณ วิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์รวมทั้งคำสั่งควบคุมการทำงานของอุปกรณ์เครื่องเมนเฟรม

ข้อจำกัดของภาษาฟอร์แทรน 

          เนื่องจากคำสั่งงานเหมาะสำหรับการควบคุมการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่  เมื่อนำมาประยุกต์ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก  จะต้องปรับใช้คำสั่งมากมาย  รวมทั้งเมื่อมีการเปลี่ยนเครื่องประมวลผลก็ต้องเปลี่ยนรูปแบบคำสั่งทุกครั้ง


 รูปตัวอย่างการเขียนโปรแกรมภาษาฟอร์แทรน











                       ก็จบไปแล้วน้าา สำหรับภาษาฟอร์แทน เข้าใจกันมั้ยเอ่ยย  ในวันนี้เมย์ฏ็มีเรื่องที่จะมาให้ความรู็เพื่อนๆ แค่นี้แล้วพบกันใหม่อาทิตย์หน้านะคะว่าเมย์จะมาให้ความรู้เพื่อนเรื่องอะไรอีกกกก



-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


                      http://it.benchama.ac.th/ebook/files/chap5-17.htm

วันพุธที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Week 3 : Social Network กับนักเรียนและสังคมไทย



           สวัสดีค่าาา เพื่อนๆทุกคนวันนี้เมย์จะมาเตือนเพื่อนๆเกี่ยวกับโซเชี่บลต่างๆนะ  ใครมีติดโรศัพท์ติดโซเชียลมากๆควรอ่านเลยย ว่าตอนนี้มันมีผลกระทบอะไรต่อสังคมไทยของเราบ้าง    แต่ก่อนคือเราต้องมาทำความรู้จักกับโซเชียลก่อนว่า มันคืออะไร และมีผลกระทบอะไรกับสังคมไทย  


Social Network คืออะไร

โซเชียลเน็ตเวิร์ค หรือ Social Network คือเครือข่ายสังคมออนไลน์  หรือการที่ผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตคนหนึ่ง เชื่อมโยงกับเพื่อนอีกนับสิบ รวมไปถึงเพื่อนของเพื่อนอีกนับร้อย  ผ่านผู้ให้บริการด้านโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) บนอินเตอร์เน็ต เช่น Facebook, Blogger, Hi5, Twitter หรือ Tagged เป็นต้น (บางเว็บไซต์ที่กล่าวถึงในตัวอย่าง ปัจจุบันนี้ได้เสื่อมความนิยมแล้ว)  การเชื่อมโยงดังกล่าว ทำให้เกิดเครือข่ายขึ้น เช่น เราสามารถรู้จักเพื่อนของเพื่อนเราได้  เป็นทอดๆ ต่อไปเรื่อย  ทำให้เกิดสังคมเสมือนจริงขึ้นมา  สามารถสร้างคอนเน็คชั่นใหม่ๆ ได้ง่าย  และเมื่อเราแชร์ (Share) ข้อความหรืออะไรก็ตามลงไปในเครือข่าย  ทุกคนในเครือข่ายก็สามารถรับรู้ได้พร้อมกัน  และสามารถตอบสนองต่อสิ่งที่เราแชร์ได้  เช่น  แสดงความคิดเห็น (Comment)  กดไลค์ (Like) ซึ่งอาจจะแตกต่างกันออกไปตามแต่ละผู้ให้บริการ  ความโดดเด่นในเรื่องความง่ายของโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) ทำให้ธุรกิจ และนักการตลาดสนใจที่จะใช้เป็นเครื่องมือในการประชาสัมพันธ์สินค้า และบริการ

โซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) มีกี่ประเภท อะไรบ้าง

การจัดประเภทของโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) นั้นสามารถแยกได้ตามรูปแบบ และวัตถุประสงค์ในการใช้งาน

โซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) ตามรูปแบบ แบ่งได้เป็น

1. Blog หรือ บล็อก คือเว็บไซต์รูปแบบหนึ่ง มาจากคำว่า Weblog (Website + Log) ซึ่งคำว่า Log ในที่นี้หมายถึง “ปูม” ดังนั้น Blog จึงมีลักษณะเป็นเว็บไซต์ที่จัดเก็บข้อมูลด้วยวิธีเดียวกับปูม  มีการเรียงลำดับตามวันที่บันทึก  ข้อมูลใหม่ที่ Post จะอยู่บนสุด  ส่วนข้อมูลเก่าจะอยู่ล่างสุด  โดยบล็อกสมัยนี้ไม่ได้อยู่ลำพังเดี่ยวๆ แต่มีลักษณะเป็น Community ที่รวบรวม Blog หลายๆ Blog เข้าไว้ด้วยกัน  สามารถเชื่อมโยงผู้เขียน (Blogger) ได้เป็นสังคมขนาดใหญ่  ในขณะเดียวกันก็เชื่อมโยงผู้อ่านไว้กับผู้เขียนได้  โดยสามารถคอมเม้นต์บทความ  ติดตาม  หรือกดโหวตได้ เช่น Blogger เป็นต้น
2. ไมโครบล็อก (Microblog) เป็นเว็บไซต์ขนาดเล็ก ใช้สำหรับส่งข้อความสั้นๆ ไม่กี่ประโยค เพื่อบอกถึงสถานการณ์ และความเป็นไป ไมโครบล็อกที่มีผู้นิยมใช้บริการ เช่น Twitter
3. โซเชียลเน็ตเวิร์คเว็บไซต์ (Social Network Website) คือเว็บไซต์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นสังคมออนไลน์โดยเฉพาะ เช่น Facebook, Linkedin, Myspace, Hi5 เป็นต้น เว็บพวกนี้มีจุดเด่นที่การแชร์คอนเท้นต์ ทั้งข้อความ รูปภาพ และวีดีโอ บางเว็บรวมไปถึงบทความ เพลง และลิ้งค์  นอกจากนั้นยังมีฟังก์ชั่นในการแสดงความรู้สึก หรือมีส่วนร่วม เช่น การกดไลค์ (Like) การโหวต การอภิปราย (Discuss) และการแสดงความคิดเห็น เป็นต้น
4. เว็บโซเชียลบุ๊คมาร์ค (Bookmark Social Site) เป็นเว็บที่ให้เราเก็บหน้าเว็บ หรือเว็บไซต์ที่เราชื่นชอบ เพื่อเอาไว้เข้าชมทีหลัง แต่พอมาเป็นโซเชียลไซต์ เราจะสามารถแชร์ URL ของหน้าเว็บเหล่านั้น รวมถึงดูว่าคนอื่นเก็บหน้าเว็บอะไรไว้บ้าง เข้าชม และแสดงความคิดเห็นต่อหน้าเว็บต่างๆ ได้

พฤติกรรมการใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) ของคนไทย

พฤติกรรมของผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ต ปรับเปลี่ยนจากการรับข่าวสารจาก Portral Site มาเป็นโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) เว็บไซต์ เริ่มเด่นชัดตั้งแต่ช่วงปี 2007 หรือ พ.ศ. 2550 เป็นต้นมา และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มีผลการศึกษาพบว่าประมาณ 1 ใน 3 ของผู้ใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) ใช้เพื่ออัพเดตข้อมูลข่าวสาร และอีก 1 ใน 3 เพื่อคุยกับเพื่อนและคนรู้จัก นั่นสะท้อนให้เห็นเป็นอย่างดีว่าผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ต ติดตามข่าวสารจากโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) มากขึ้น

ทำไมโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) ถึงกลายมาเป็นเครื่องมือทางการตลาดยอดนิยมได้

เนื่องจากการโฆษณาผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) นั้นต้นทุนต่ำแต่มีประสิทธิผลสูง หรือหมายถึงมีประสิทธิภาพในการโฆษณาสูงมาก สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้โดยตรง และกระจายการรับรู้ได้รวดเร็ว ทำให้ธุรกิจต่างๆ ต่างให้ความสนใจ โดยระยะแรกนั้นธุรกิจที่มีขนาดเล็ก มีเงินลงทุนน้อยได้ทดลองใช้งานก่อน และเมื่อประสบความสำเร็จ ก็ทำให้ธุรกิจขนาดใหญ่ต้องลงมาโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) ควบคู่ไปกับสื่อโฆษณาที่เป็น mass marketing อื่นๆ

ข้อดี - ข้อเสีย ของ Social Network


.ในโลกไซเบอร์ก็เหมือนสังคมรอบข้างตัวเรา มีใส่หน้ากาก กัดกันข้างหลัง มีนิสัยดี นิสัยชั่ว มีการสงสัย การระวังคนรอบข้าง มีหมดทุกอย่าง เพราะมันเป็นธรรมดาของโลก แต่เราจะสามารถคัดกรองกลุ่มคนยังไงได้นั้น ก็ต้องใช้สติปัญญาในการวิเคราะห์ หรือพิจารณา คนที่เราคิดว่าน่าจะเป็นคนดี สักวันหนึ่งอาจจะกลับกลายเป็นคนชั่วไปก็เป็นได้ ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เป็นแน่นอน เพียงแต่เราจะมองโลกในแง่บวก หรือแง่ลบ เท่านั้นเอง เช่นเดียวกับเหรียญที่มี 2 ด้านเสมอก็เฉกเช่นเดียวกับคนที่มีทั้งคนดีและคนชั่ว และใน Social Network ก็เช่นเดียวกัน ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย

ประโยชน์ของ Social Network

...............บริษัทต่างๆเริ่มหันมาใช้ Blog ในการประชาสัมพันธ์สินค้าและบริการมากขึ้น เนื่องจากจัดการใช้งาน และอัพเดทให้ทันสมัยได้ง่าย อีกทั้งยังเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ดี เพราะ Blog ส่วนใหญ่จะสำรวจและแยกประเภทความสนใจของสมาชิกอยู่แล้ว นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายที่ถูก และสามารถติดต่อสื่อสารระหว่างบริษัทกับลูกค้าผ่านข้อความแสดงความคิดเห็นได้อีกด้วย

ข้อดีของ Social Network

  • สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ในสิ่งที่สนใจร่วมกันได้

  • เป็นคลังข้อมูลความรู้ขนาดย่อมเพราะเราสามารถเสนอและแสดงความคิดเห็น แลกเปลี่ยนความรู้ หรือตั้งคำถามในเรื่องต่างๆ เพื่อให้บุคคลอื่นที่สนใจหรือมีคำตอบได้ช่วยกันตอบ
  • ประหยัดค่าใช้จ่ายในการติดต่อสื่อสารกับคนอื่น สะดวกและรวดเร็ว

  • เป็นสื่อในการนำเสนอผลงานของตัวเอง เช่น งานเขียน รูปภาพ วีดิโอต่างๆ เพื่อให้ผู้อื่นได้เข้ามารับชมและแสดงความคิดเห็น

  • ใช้เป็นสื่อในการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ หรือบริการลูกค้าสำหรับบริษัทและองค์กรต่างๆ ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้า

  • ช่วยสร้างผลงานและรายได้ให้แก่ผู้ใช้งาน เกิดการจ้างงานแบบใหม่ๆ ขึ้น

  • คลายเคลียดได้สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการหาเพื่อนคุยเล่นสนุกๆ

  • สร้างความสัมพันธ์ที่ดีจากเพื่อนสู่เพื่อนได้

ข้อเสียของ Social Network

  • เว็บไซต์ให้บริการบางแห่งอาจจะเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวมากเกินไป หากผู้ใช้บริการไม่ระมัดระวังในการกรอกข้อมูล อาจถูกผู้ไม่หวังดีนำมาใช้ในทางเสียหาย หรือละเมิดสิทธิส่วนบุคคลได้
  • Social Network เป็นสังคมออนไลน์ที่กว้าง หากผู้ใช้รู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือขาดวิจารณญาณ อาจโดนหลอกลวงผ่านอินเทอร์เน็ต หรือการนัดเจอกันเพื่อจุดประสงค์ร้าย ตามที่เป็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์
  • เป็นช่องทางในการถูกละเมิดลิขสิทธิ์ ขโมยผลงาน หรือถูกแอบอ้าง เพราะ Social Network Service เป็นสื่อในการเผยแพร่ผลงาน รูปภาพต่างๆ ของเราให้บุคคลอื่นได้ดูและแสดงความคิดเห็น
  • ข้อมูลที่ต้องกรอกเพื่อสมัครสมาชิกและแสดงบนเว็บไซต์ในรูปแบบ Social Network ยากแก่การตรวจสอบว่าจริงหรือไม่ ดังนั้นอาจเกิดปัญหาเกี่ยวกับเว็บไซต์ที่กำหนดอายุการสมัครสมาชิก หรือการถูกหลอกโดยบุคคลที่ไม่มีตัวตนได้
  • ผู้ใช้ที่เล่น social  network และอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานอาจสายตาเสียได้หรือบางคนอาจตาบอดได้      
  • ถ้าผู้ใช้หมกหมุ่นอยู่กับ social  network มากเกินไปอาจทำให้เสียการเรียนหรือผลการเรียนตกต่ำลงได้
  • จะทำให้เสียเวลาถ้าผู้ใช้ใช้อย่างไร้ประโยชน์

               และนั่นก็คือโซเชียลกับสังคมไทย อ้าวหลายคนสงสัย แล้วโซเชียลกับนักเรียนอย่างพวกเราหล่ะ ? มันมีผลกระทบ หรือมีข้อดีอะไรบ้าง...

Social Network กับนักเรียน

          ในวัยนักเรียนอย่างพวกเราโซเชียลจัดเป็นปัญฆาอันดับต้นๆเลยก็ว่าได้ เป็นสาเหตุสำคัญของการเกดอาชญากรรม ทั้งการล่อลวงผ่านแอปพลิเคชั่นต่างๆ เช่นชวนให้ออกไปหา หรือชวนคุยทำทีเหมือนจะมีความรักให้ แต่สุดท้ายก็หลอกไปทำสิ่งที่ไม่ดี หรือการขายสินคาผ่านโซเชียลแบบไม่มีการรับรองจากอย. ทำให้วัยรุ่นที่ไม่ได้ศึกษาให้ดีซื้อมารับประทานหรือใช้ เกิดอาการแพ้อย่างรุนแรงจนถึงอาจเสียชีวิตได้  การทะเลาะกันในโซเชียลก็มีมากมาย ทะเลาะกันผ่านตัวหนังสือ โพสคลิปที่ก่อให้เกิดความเสียหาย หรืออับอายแก่ผู้อื่น ทำให้ผู้อื่นเสียชื่อเสียงก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งของโซเชียล
         แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อดีเลยนะคะ  ข้อดีคือในวัยอย่างเรามีงานที่ต้องหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็๖มากมายเพราะได้ข้อมูลที่มาจากหลายที่ มีความหลากหลาย สะดวก รวดเร็ว หรือการติดต่อสื่อวารก็เป็ฯไปอย่างรวดเร็วสะดวกสบาย  ไม่เหมือนสมัยก่อนที่ต้องเปิดหนังสือหาข้อมูลเพื่อทำงานหรือต้องเดินทางไปห้องสมุดเพื่ออ่านหนังสือ   การสื่อสารก็ต้องโทรศัพท์ หรือ ทางจดหมายถ้าย้อนกลับไปอีก  ดังนั้นโซเชียลก็มีทั้งโทษและประโยชน์ อยู๋ที่ตัวพวกเราทุกคนว่าจะให้มันไปในทางไหน การจะโพสหรือพิมอะไรลงไปในโซเชียลก็ควรคิดให้ดี คิดถึงผลที่จะตามมาว่าจะดีหรือเสีย   



                 ยังไงวันนี้เมย์ก็มีความรู้และความคิดเห็นเรื่องการเล่นโซเชียลมาฝากนะคะะ  เพราะเมย์ก็เป็ฯคนนึงที่ติดโซเชียลในระดับนึง  เพราะฉะนั้นเวลาจะทำอะไรก็คิดกันมากๆน้าาาา     ขอบคุณค่าา 







-----------------------------------------------------------------------------------------------------


ขอขอบคุณ : ข้อดี - ข้อเสีย
                     social-network